tag:blogger.com,1999:blog-35185001119562698002024-03-08T04:43:06.725-08:00การเลี้ยงไก่ชนเบนซ์http://www.blogger.com/profile/01592844473215358442noreply@blogger.comBlogger8125tag:blogger.com,1999:blog-3518500111956269800.post-33730699742251035272009-01-29T18:10:00.000-08:002009-01-29T18:15:16.104-08:00อาหารและการให้อาหาร<div align="center"><br />ปกติแล้วการเลี้ยงไก่พื้นบ้านมักจะปล่อยให้ไก่หาอาหารกินเองตามมีตามเกิด หรือตามธรรมชาติ โดยที่ผู้เลี้ยงอาจมีการให้อาหารเพิ่มเติมบ้างในช่วงตอนเช้า หรือตอนเย็นอาหารที่ให้ก็เป็นพวกข้าวเปลือก ปลายข้าว หรือข้าวโพด เป็นต้น จากสภาพการเลี้ยงดูแบบนี้ทำให้ความสมบูรณ์ของไก่ผันแปรไปตามสภาพดินฟ้าอากาศ คือ ในช่วงฤดูฝน ไก่จะมีอาหารค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากได้รับทั้งเมล็ดวัชพืชและหนอนแมลงในปริมาณมาก ซึ่งอาหารทั้งสองชนิดนี้เป็นแหล่งของไวตามินและโปรตีนที่สำคัญ ตามธรรมชาติ ทำให้ไก่ในฤดูกาลนี้มีการเจริญเติบโตและความแข็งแรงมากกว่าไก่ในฤดูอื่น ๆ<br />ส่วนในฤดูเก็บเกี่ยว และนวดข้าว ไก่ก็มีโอกาสที่จะได้รับเศษอาหารที่ตกหล่นมาก ทำให้ไก่มีสภาพร่างกายอ้วนท้วนสมบูณ์พอสมควร ส่วนในฤดูแล้งมักจะประสพปัญหาไก่ขาดแคลนอาหารตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องน้ำซึ่งมักจะขาดอยู่เสมอ จำเป็นต้องเตรียมไว้ให้ไก่ด้วย<br />หลักในการให้อาหารไก่พื้นบ้านมีดังต่อไปนี้<br />1. ควรซื้อหัวอาหารเพื่อเอามาผสมกับอาหารที่ผู้เลี้ยงมีอยู่เช่น ผสมกับปลายข้าว หรือรำเป็นต้น อาหารผสมนี้ใช้เลี้ยงไก่โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่เล็ก จะทำให้ไก่ที่เลี้ยงโตเร็วและแข็งแรง<br />2. การใช้เศษอาหารมาเลี้ยงไก่ควรคำนึงถึงความสะอาดและสิ่งแปลกปลอมที่เป็นพิษต่อไก่ด้วย<br />3. ถ้าเป็นไปได้ควรเสริมเปลือกหอยป่นในอาหารที่ให้ไก่กินจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องเปลือกไข่บางและปัญหาการจิกกินไข่ของแม่ไก่<br />4. ควรนำหญ้าขนหรือพืชตระกูลถั่วบางชนิดเช่น ถั่วฮามาต้า ใบกระถิน หรือเศษใบพืชต่าง ๆ เช่น ใบปอ ใบมัน เป็นต้น นำมาสับให้ไก่กินจะทำให้ไก่ได้รับไวตามินและโปรตีนเพิ่มมากขึ้น<br />5. การใช้แสงไฟล่อแมลงในตอนกลางคืน นำแมลงนั้นมาเป็นอาหารไก่จะทำให้ไก่ได้อาหารโปรตีนอีกทางหนึ่งนอกจากนี้ยังเป็นการช่วยทำลายแมลงศัตรูพืชอีกด้วย<br />6. ควรมีภาชนะสำหรับใส่อาหารและน้ำโดยเฉพาะ โดยทำจากวัสดุต่าง ๆ ที่หาได้ เช่นยางรถยนต์ หรือไม้ไผ่ ภาชนะสำหรับให้น้ำและอาหารควรวางให้สูงระดับเดียวกับหลังของตัวไก่และใส่อาหารเพียง 1 ใน 3 ก็พอเพื่อให้หกเรี่ยราด<br />สำหรับน้ำนั้นควรใช้น้ำที่สะอาดให้ไก่ดื่มกินตลอดเวลา ส่วนอาหารอาจจะให้เฉพาะตอนเช้า และเย็นเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นให้ไก่หาอาหารกินเอง 7. สำหรับอาหารลูกไก่ ควรเป็นอาหารที่ละเอียด ย่อยง่าย และให้ทีละน้อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบการย่อยอาหารของลูกไก่ต้องทำงานหนักเกินไป<br />8. ในช่วงการให้ไข่และฟักไข่ของแม่ไก่ ควรมีอาหารเสริมเป็นพิเศษสำหรับแม่ไก่ซึ่งจะช่วยให้แม่ไก่แข็งแรงไม่ทรุดโทรมเร็ว และไม่ต้องไปหากินไกล ๆ<br /><br />9. ในระยะการกกลูกไก่ในคอกนั้น จำเป็นต้องซื้ออาหารสูตรผสม (อาหารไก่เล็ก) ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดมาให้ลูกไก่กิน การให้อาหารพวกปลายข้าว ข้าวเปลือกหรือรำ เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือให้รวมกันจะไม่ได้ผล เพราะจะทำให้ลูกไก่แคระแกรน ไม่แข็งแรง และตายในที่สุด ดังนั้นจึงควรหาซื้ออาหารสูตรผสมที่มีโปรตีนเมื่อพ้นระยะการกกแล้วในช่วงเวลากลางวันก็สามารถปล่อยให้ไก่ออกหาอาหารตามธรรมชาติบ้าง ในช่วงก่อนค่ำก็ไล่ไก่เข้าคอกและควรให้อาหารสูตรสำเร็จเสริมให้ไก่ หรือจะให้เศษอาหารที่เหลือ หรือพวกปลายข้าว รำข้าว ก็ได้<br />10. ในกรณีที่เลี้ยงไก่จำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงคือแหล่งอาหารตามธรรมชาติว่ามีเพียงพอต่อจำนวนไก่หรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอก็ควรซื้ออาหารสูตรผสมให้กินเสริมด้วย มิเช่นนั้นจะพบว่าไก่ที่เลี้ยงจะผอม ไม่แข้งแรง และมักแสดงอาหารป่วยจนถึงตายในที่สุด<br />11. นอกจากการใช้สูตรอาหารสำเร็จมาใช้เลี้ยงไก่แล้ว ยังมีอาหารอีกรูปแบบหนึ่งที่มีจำหน่ายอยู่ในรูปเข้มข้น หรือเรียกกันว่าหัวอาหาร ซึ่งสามารถซื้อนำมาผสมกับวัตถุดิบในท้องถิ่นได้ เช่น ปลายข้าว ข้าวโพด หรือมันสำปะหลังตากแห้ง เป็นต้น การผสมมักจะคำนึงถึงสูตรอาหารที่จะใช้ว่าจะเลี้ยงในระยะลูกไก่หรือไก่รุ่น เมื่อทราบอายุไก่ที่เลี้ยงแล้วก็นำหัวอาหาร และวัตถุดิบที่มีอยู่มาผสมกันตามสัดส่วนที่คำนวณไว้ดังตัวอย่างเช่น ถ้าหัวอาหารประกอบด้วยโปรตีน 42 เปอร์เซ็นต์ จะนำมาผสมกับปลายข้าวที่ประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ เพื่อทำเป็นสูตรอาหารให้ได้โปรตีน 1<img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai18.jpg" align="left" vspace="10" />9 เปอร์เซ็นต์ เพื่อใช้เลี้ยงลูกไก่ การผสมแบบนี้สามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ดังนี้<br /><img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai16.jpg" align="left" vspace="10" />ขั้นตอนการคำน<img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai17.jpg" align="left" vspace="10" />วณคือ<br />1. หาความแตกต่างระ <p align="center"><img src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/bar2.gif" /></p>หว่างเปอร์เซ็นต์โปรตีนของหัวอาหารกับเปอร์เซ็นต์โปรตีนของสูตรอาหารที่ต้องการผสม ในกรณีนี้คือ 42-19 ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 23<br />2. หาความแตกต่างระหว่างเปอร์เซ็นต์โปรตีนของปลายข้าวกับเปอร์เซ็นต์โปรตีนของสูตรอาหารที่ต้องการผสม คือ 19-8 ซึ่งจะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 11<br />3. จากข้อ 1 และข้อ 2 สรุปผลได้ดังนี้คือ ถ้าเรานำหัวอาหาร จำนวน 11 ส่วน มาผสมกับปลายข้าว จำนวน 23 ส่วน เราก็สามารถผสม<img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai15.jpg" align="left" vspace="10" />สูตรอาหารไก่ที่ประกอบด้วยโปรตีน ประมาณ 19 เปอร์เซ็นต์ได้ </div>เบนซ์http://www.blogger.com/profile/01592844473215358442noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3518500111956269800.post-27813520818296434632009-01-29T18:06:00.000-08:002009-01-29T18:10:42.549-08:00การปรับปรุงพันธุ์ไก่พื้นบ้าน<div align="center"><br />จากสภาพการเลี้ยงที่ปล่อยตามธรรมชาติ และขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ทำให้การที่จะนำไก่พันธุ์ดีเข้าไปเผยแพร่ เพี่อขจัดข้อเสียของไก่พื้นบ้านดังที่กล่าวมา แล้วเป็นไปได้ยาก เนื่องจากไก่พันธุ์ดีนั้น ๆ ต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำ เสมอ ถ้าเอามาเลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติจะไม่ ได้ผลเท่าที่ควร ฉะนั้น การที่จะ ส่งเสริมให้มีการเลี้ยงไก่พันธุ์แท้ในสภาพการเลี้ยงดูแบบนี้ด่อนข้างจะลำบาก อย่างไรก็ ตามยังมีหนทางที่จะปรับปรุงไก่พื้นบ้านให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นโดยการคงสภาพ ข้อดีของไก่พื้นบ้านไว้ และในขณะเดียวกันก็แก้ไขข้อเสียของไก่พื้นบ้านโดยการหา ลักษณะที่ดีเด่นของไก่พันธุ์อื่นเข้ามาแทน การปรับปรุงลักษณะเช่นนี้สามารถทำได้ ง่าย ๆ โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างไก่พันธุ์พื้นบ้านกับไก่พันธุ์แท้ที่มีลักษณะที่เรา ต้องการ ไก่ที่นำมาพิจารณา ในกรณีนี้ต้องเป็นไก่ที่เป็นพันธุ์ที่สามารถให้ผลผลิตทั้ง เนื้อและไข่ และค่อนข้างทนต่อสภาพภูมิอากาศแบบบ้านเราได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ดี แล้วจะพบว่า ไก่พันธุ์โรดไอแลนด์เรด ซึ่งนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่าไก่โรดนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนดังที่กล่าวมา ดังนั้นเมื่อนำไก่ทั้งสองพันธุ์มาผสมข้ามพันธุ์แล้ว จะได้ไก่ที่ มีการเจริญเติบโตและการให้ไข่ที่ดีกว่าไก่พื้นบ้านเดิม นอกจากนี้มีความสามารถใน การหากินในสภาพการเลี้ยงแบบปล่อยลานบ้านเหมือนกับไก่พื้นบัานไดัอีกด้วย<br />นอกเหนือจากการปรับปรุงพันธู์ผู้เลี้ยงควรจะปฏิบัติดังนี้คือ<br /><br />1. ควรมีการคัดเลือกลักษณะไก่ที่ดีเอาไว้ทำพันธุ์ เพื่อทดแทนพ่อแม่พันธุ์รุ่น แรก ๆ อยู่ตลอดเวลา ปกติผู้เลี้ยงไก่มักจะมีการคัดเลือกลักษณะนี้ในทางกลับกัน คือ ไก่ตัวไหนที่โตเร็วแข็งแรงแทนที่จะถูกเก็บไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ต่อไป มักจะถูกฆ่า เพือใช้บริโภคก่อน เหลือแต่พวกที่มีลักษณะไม่ดีไว้ทำพันธุ์ต่อไป ทำให้ ด้ลูกในรุ่น ต่อ ๆ ไปมีลักษณะเลวลง<br />2. ไม่ควรปล่อยให้พ่อพันธุ์ตัวหนึ่งตัวใดคุมฝูงนานเกินไป เนื่องจากจะทำให้ เกิดปัญหาเกี่ยวกับการผสมเลือดชืดมากขึ้น ซึ่งได้แก่ปัญหาอัตราการฟักออกเป็นตัวต่ำ ปริมาณไข่ลดลงกว่าปกติและมีอัตราการตายของลูกไก่สูงขึ้น เป็นต้น ถ้าไก่พ่อพันธุ์มีจำนวนจำกัด อาจใช้วิธีแลกเปลี่ยนพ่อพันธุ์กับเพื่อนบ้านก็ได<br /><br />การผสมเลือดชิด การผสมสายเลือดชิด หมายถึง การนำลูกที่เกิดจากพ่อแม่ เดียวกัน หรือที่เกิดจากพ่อตัวเดียวกัน แต่ต่างแม่ หรือแม่ตัวเดียวกันแต่ต่างพ่อ มาผสมกันเอง หรือการนำพ่อหรือแม่มาผสมกับลูก การผสมสายเลือดชิดมักก่อให้ เกิดลักษณะผิดปกติ หรือลักษณะที่เลวร้ายขี้นมาก เช่น อัตราการฟักออกต่ำ ไม่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม อัตราการเลี้ยงรอดต่ำ ไม่แข็งแรงเป็นต้น<br />การผสมสายเลือดชิดจะพบได้ง่ายในสภาพการเลี้ยงตามชนบท เพราะ เกษตรกรมักจะเลี้ยงไก่โดยใช้พ่อพันธุ์ประมาณ 1-2 ตัว ผสมกับแม่พันธุ์ จำนวนน้อย ตัว ดังนั้นลูกไก่ที่เกิดมาส่วนมากจะเป็นพี่น้องกันทางสายเลือด และถูกเลี้ยงให้ โตมาพร้อม ๆ กันโดยไม่มีพันธุ์ประวัติจึงไม่ทราบว่าตัวใดมาจากพ่อตัวไหน แม่ตัว ไหน เมื่อไก่เริ่มโตถึงวัยผสมพันธุ์ ไก่ที่เป็นพี่น้องกันก็อาจมาผสมกันเองหรืออาจ กลับไปผสมกับพ่อแม่ของตัวเอง ชี่งก่อให้เกิดปัญหาการเลี้ยงไก่ของชาวบ้านต้อง ประสบกับอัตราการตายที่สูงและ มีสุขภาพไม่แข็งแรง<br /><br />การแก้ไขส่าหรับปัญหาการผสมเลือดชิดกัน สามารถทำได้โดยนำไก่รุ่นเพศผู้ ไปแลกกับไก่บ้านเพศผู้ของหมู่บ้านอื่นมาใช้เพื่อคุมฝูงตัวเมียที่เก็บไว้ ส่วนไก่เพศผู้ที่ เหลืออาจจำหน่ายเพื่อนำเงินมาใช้ภายในครอบครัวได้ หรือจะใช้วิธีจำหน่ายไก่เพศผู้ ให้หมด แล้วไปชื้อพ่อไก่รุ่นจากหมู่บ้านอื่น หรือแหล่งอื่นมาทดแทน ซึ่งการทำเช่นนี้ จะช่วยให้ลูกไก่ที่เกิดมามีจำนวนเพิ่มขึ้น ลูกไก่แข็งแรง อัตราการเลี้ยงรอดสูง ขึ้น นอกจากนั้นยังจะทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศได้ดีขึ้นอีกด้วย<br />3. ควรมีการคัดพ่อแม่พันธุ์ที่อายุมาก ๆ ออกจากฝูง ทั้งนี้เพี่อปัองกันไม่ให้ อัตราการผสมติดของไก่ในฝูงต่ำ<br />4. มีอัตราส่วนระหว่างพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่เหมาะสมคือ ตัวผู้ต่อตัวเมีย ประมาณ 1 : 5 ถึง 1 : 10 ไม่ควรเกินกว่านี้ เพราะจะทำให้มี<img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai8.jpg" align="left" vspace="10" /><img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai9.jpg" align="left" vspace="10" /><img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai10.jpg" align="left" vspace="10" />ไข่ที่ไม่มีเชื้อมาก<img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai11.jpg" align="left" vspace="10" />ขึ้น</div>เบนซ์http://www.blogger.com/profile/01592844473215358442noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3518500111956269800.post-1495829249067111482009-01-29T18:03:00.000-08:002009-01-29T18:05:31.578-08:00การฟักไก่<div align="center"><br />ลักษณะการฟักไข่ของแม่ไก่บ้าน ยังจัดได้ว่าเป็นลักษณะที่มีคุณประโยชน์ต่อเกษตรกรตามชนบทเป็นอย่างยิ่งในทางตรงข้าม การเลี้ยงไก่ในเรือนโรงที่เลี้ยงกันแบบอุตสาหกรรมนั้น ลักษระการฟักไข่ของแม่ไก่จะไม่เป็นที่พึงปรารถนา ดังนั้นไก่ที่เลี้ยงในเรือนโรงใหญ่ ๆ ทั้งไก่เนื้อหรือไก่ไข่ จะไม่พบว่ามีลักษณะการฟักหลงเหลืออยู่อันเนื่องมาก ลักษณะดังกล่าว ได้ถูกคัดทิ้งเพื่อเร่งให้แม่ไก่สามารถให้ไข่ได้มากขึ้น<br />การฟักไข่ของแม่ไก่ยังมีความจำเป็นต่อเกษตรกรเพราะ<br />1. เกษตรกรมีเวลาในการดูแลเอาใจใส่ต่อไก่พื้นบ้านของตนน้อยมาก ส่วนใหญ่มักเลี้ยงปล่อยไปตามยถากรรม<br />2. การขยายพันธุ์ของไก่พื้นบ้าน ยังต้องอาศัยวิธีตามธรรมชาติ คือแม่ไก่ฟักเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ต้องลงทุนสูง<br />3. เกษตรกรยังไม่สามารถที่จะจัดซื้อตู้ฟักไข่มาใช้เองได้<br />4. ไม่มีการคัดทิ้งลักษณะการฟัก ในทางตรงข้ามกลับคัดแต่แม่ไก่ที่ฟักไข่ดีเก็บไว้ แล้วมักคัดทิ้งไก่ที่ให้ไข่ดก แต่ฟักไข่ไม่ค่อยดี<br />เมื่อไก่ที่เลี้ยงอายุได้ประมาณ 7 เดือน ก็จะเริ่มให้ไข่ ผู้เลี้ยงต้องเตรียมภาชนะสำหรับให้แม่ไก่วางไข่อาจจะป็นตะกร้าแบน ๆ รองด้วยฟางข้าวเอาไปวางไว้ตรงจุดใด จุดหนึ่งที่ค่อนข้างจะมืดในคอก หรือในเล้าที่ใช้เลี้ยงไก่ ถ้าหากไม่ได้เตรียมสิ่งดังกล่าวนี้ไว้แม่ไก่จะไปไข่ตามบริเวณในซอกกองไม้ หรือบนยุ้งฉาง ซึ่งอาจทำให้หาไม่พบ และจะทำให้ไข่เน่าเสียไปได้<br /><br />1. อุปกรณ์และวิธีปฏิบัติสำหรับการฟักไข่ ควรเตรียมอุปกรณ์บางชนิดที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการฟักไข่ของแม่ไก่ เพื่อช่วยให้อัตราการฟักออกดีขึ้นดังนี้<br />1.1 เตรียมตะกร้า หรือกล่องกระดาษที่ไม่ลึกเกินไป และปูรองพื้นด้วยฟางข้าวที่สะอาดแล้วนำไปวางในมุมมืดที่อากาศสามารถ่ายเทได้สะดวก<br />1.2 ในระยะแรก ๆ ของการให้ไข่ ควรเก็บไข่ในตะกร้าหรือกล่องทุกวัน ในฤดูร้อนไข่ที่เก็บในฟองแรก ๆ มักฟักไม่ออกเป็นตัว ควรนำไปปรุงเป็นอาหารรับประทานดีกว่าที่จะปล่อยให้ไข่เน่าเสียโดยเปล่าประโยชน์<br />1.3 หลัจากเก็บไข่จากตะกร้าหรือรังไข่แล้ว ควรปิดรังไข่ในเวลากลางคืน เพื่อป้องกันไม่ให้ไก่ถ่ายมูลลงในรังซึ่งมีผลทำให้ไข่ฟักสกปรกและอาจเน่าเสียในระหว่างการฟักได้ง่าย<br />1.4 ถ้ามีตู้เย็น ควรเก็บไข่ฟักไว้ในตู้เย็น โดยหันเอาด้านป้านของไข่คว่ำลงและภาย ในตู้เย็นควรวางขันใส่น้ำไว้เพื่อเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ภายในตู้ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำระเหยจากไข่ในปริมาณมากเกินไป<br />1.5 ในกรณีที่ไม่มีตู้เย็น ควรนำไข่มาวางในบริเวณร่มเย็นที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก แดดส่องไม่ถึง และเป็นบริเวณที่สะอาด โดยวางไข่เอาด้านป้านคว่ำลงไม่ควรล้างไข่ด้วยน้ำ แต่ถ้าไข่สกปรก ให้ใช้ผ้าสะอาด เช็ดบริเวณรอยเปื้อนนั้น ถ้าไข่สกปรกมาก ไม่ควรนำไปฟัก<br />1.6 เมื่อพบว่า แม่ไก่ให้ไข่มากพอควร และเริ่มสังเกตเห็นแม่ไก่หมอบอยู่ในรังไข่เป็นเวลานาน ๆ แล้ว ให้นำไข่ที่เก็บไว้นั้นไปให้แม่ไก่ฟัก (ถ้าเก็บในตู้เย็นควรนำไข่มาวางไว้ข้างนอกเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนเพื่อปรับอุณหภูมิในไข่ให้เท่ากับอุณหภูมิภายนอก)<br />1.7 ในระหว่างที่แม่ไก่ฟักไข่อยู่นั้น ควรจัดเตรียมอาหารและน้ำไว้ในบริเวณใกล้ ๆ ที่แม่ไก่ฟัก เพื่อป้องกันไม่ให้แม่ไก่ทิ้งรังไข่ไปหาอาหารเป็นระยะเวลานาน ๆ<br /><img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai22.jpg" align="left" vspace="10" /><img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai21.jpg" align="left" vspace="10" />1.8 เมื่อแม่ไก่ฟักไข่ได้ประมาณ 7 วัน ควรนำไข่ฟักมาส่องดูเพื่อแยกไข่ไม่มีเชื้อหรือไข่เชื้อตาย หรือไข่เน่าออกจากรังไข่</div>เบนซ์http://www.blogger.com/profile/01592844473215358442noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3518500111956269800.post-75950765610444154912009-01-29T18:00:00.000-08:002009-01-29T18:02:51.819-08:00พันธุ์และการขยายพันธุ์ไก่<div align="center"><br />ไก่พื้นบ้านที่เลี้ยงกันอยู์ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันออกไปในเรื่องของพันธุ์ และสายพันธุ์ตามสภาพท้องที่ต่าง า แต่อย่างไรก็ดีมักจะมีวัตถุประสงค์การเลี้ยงที่ เหมือน ๆ กันคือ เลี้ยงเพื่อเอาไข่และเนื้อ โดยปล่อยให้ไก่เหล่านั้นหาอาหารกินเอง ตามธรรมชาติ มีการเสริมอาหารให้บ้างเล็กน้อยไก่พื้นบ้านเหล่านี้มีสีต่างๆ กัน แต่ที่นิยมเลี้ยงกันมากและตลาดต้องการคือ ไก่ที่มีผิวหนังสีเหลืองและสีขนดำ<br /><img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai3.jpg" align="left" vspace="10" /></div>เบนซ์http://www.blogger.com/profile/01592844473215358442noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3518500111956269800.post-29422671270265481692009-01-29T17:56:00.000-08:002009-01-29T18:00:01.158-08:00โรงเรือนไก่<div align="center"><br />เรือนโรงไก่สามารถทำเป็นเเบบง่าย ๆ ได้ โดยอาศัยวัสดุที่มีในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่หรือไม้รวกเป็นต้น ขนาดของโรงเรือนก็ขึ้นอยู่กับจำนวนไก่ที่จะ เลี้ยง และขี้นอยู่กับบริเวณพื้นที่ใต้ถุนบ้านหรือ บริเวณลานบ้าน เกษตรกรบางราย สร้างเรือนโรงดังกล่าวไว้ส่าหรับเลี้ยงไก่ แต่ก็มีเกษตรกรอีกจำนวนมากที่ยังเลี้ยงโดย การปล่อยให้ไก่เกาะคอนนอนตามใต้ถุนบ้าน หรือตามต้นไม้ ซึ่งการเลี้ยงเช่นนี้ทำให้ การดูแลรักษาทำได้ลำบาก ก่อให้เกิดความสูญเสียมากพอสมควร<br />การสร้างเรือนโรงไก่จะมีจุดประสงค์หลัก ๆ ดังนี้คือ<br />ใช้เป็นที่กกลูกไก่แทนแม่ไก่<br />ให้ใก่หลบพักผ่อนในช่วงกลางคืน<br />เป็นที่ให้อาหารและน้ำในช่วงภาวะอากาศแปรปราน เช่น ฝนตกหนัก<br />ใช้เป็นที่ขังไก่เพื่อทำวัคซีน<br />ใช้เป็นที่ขังไก่เพื่อให้ยาหรือยาปฎิชีวนะป้องกันรักษาโรค<br /><br />การสร้างเรือนโรงไก่ควรคำนึงถึงความโปร่งและให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่มืดทึบและมีความสูงพื่อที่จะให้ผู้เลี้ยงเข้าออกได้สะดวกพอควร<br />บริเวณตัวเรือนโรงจะใช้ลวดตาข่าย แห อวนเก่า ๆ หรือไม้รวกผ่าชีกก็ ได้ นำมาปูรอบเรือนโรง นอกจากนั้นควรมีถุงปุ๋ยหรือกระสอบเก่า ๆ แต่ล้างให้ สะอาดแล้ว ส่าหรับทำเป็นม่านป้องกันลมและฝน โดยเฉพาะในระยะการกกลูกไก่ เรือนโรงที่สร้างอยู่ใต้ถุนบ้านไม่มีความจำเป็นต้องสร้างหลังคา แต่ถ้าสร้างอยู่บนลาน บ้านอาจใช้แผงจากมุงเป็นหลังคาได้<br /><br />ขนาดของเรือนโรงขึ้นอยู่กับจำนวนไก่ ขนาดอายุของไก่ที่จะเลี้ยง เช่น ถ้าต้องการเลี้ยงเฉพาะระยะลูกไก่จนถึงระยะไก่รุ่นที่ได้น้ำหนักระหว่าง 1.5 - 2.0 กิโลกรัม จำนวนที่จะเลี้ยงได้นั้น จะใช้สัดส่วนประมาณ 8 ตัวต่อพื้นที่ 1 ตาราง เมตร ดังนั้นถ้าเรือนโรงมีขนาดกว้าง x ยาว ประมาณ 3 X 5 เมตร จะสามารถเลี้ยง ไก่ได้ประมาณ 120 ตัว แต่ถ้าต้องการเลี้ยงเป็นพ่อและแม่พันธุ์ ควรใช้ส่ดส่วน ประมาณ <img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai12.jpg" align="left" vspace="10" />4 ตัวต่อ 1 ตารางเมตร ดังนั้นในเรือนโรงดังกล่าวจะสามารถเลี้ยงได้ ประมาณ 60 <img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai13.jpg" align="left" vspace="10" /><img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/kai14.jpg" align="left" vspace="10" />ตัว </div>เบนซ์http://www.blogger.com/profile/01592844473215358442noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3518500111956269800.post-42728945018843166592009-01-29T17:54:00.000-08:002009-01-29T17:56:43.189-08:00การเลี้ยงไก่ชน<div align="center">ปัจจุบันไก่พื้นบ้านได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นมาก เป็นเพราะไก่พื้นบ้านมี เนื้อ รสชาติอร่อยและเนื้อแน่น เป็นที่ถูกปากของผู้บริโภคทั่วไป จนมีแนวโน้มว่า จะสามารถส่งเนื้อไก่พื้นiบ้านออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ แต่ปัญหาคืะอปริมาณไก่ บ้านยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะเกษตรกริ.1่วนมากประมาณร้อยละ 70 80 เปอร์เซ็นต์ จะเลี้ยงไก่พื้นบ้านแบบหลังบ้านประมาณ 10 20 ตัวต่อครัว เรือน ซึ่งการเลี้ยงก็เป็นการเลี้ยงแบบปล่อยตามยถากรรม จึงเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสย พอสมควร แต่ถ้าเกษตรกรสามารถปรับใช้เทคนิคการเลี้ยงแบบเรือนโรงมาผสม ผสานกับการเลี้ยงแบบพื้นบ้านและมีการปรับปรุงพันธุ์ลูกผสมระหว่างไก่บ้านกับไก่ พันธุ์แท้แล้วย่อมส่งผลทำให้<img hspace="15" src="http://www.doae.go.th/library/html/detail/chichen/pic1.jpg" align="left" vspace="10" />จำนวนไก่บ้านที่จะออกสู่ตลาดมีปริมาณที่สูงขึ้นอย่าง แน่นอน </div>เบนซ์http://www.blogger.com/profile/01592844473215358442noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3518500111956269800.post-22586051715904614572009-01-29T17:49:00.000-08:002009-01-29T17:53:58.851-08:00พันธุ์ประวัติ<table bordercolor="#9900ff" cellspacing="0" cellpadding="0" width="100%" align="center" border="0"><tbody><tr><td height="20"><div align="center"><img height="42" src="http://www.dld.go.th/service/chicken%203%20type/image/intro.jpg" width="146" /></div></td></tr><tr><td width="100%" height="652"><p align="center"><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;"> กรมปศุสัตว์มีนโยบายด้านการวิจัย และพัฒนาพันธุ์สัตว์ปีกและเทคโนโลยีการจัดการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพ<br />ภูมิอากาศ และการเลี้ยงดูของเกษตรกรรายย่อยในท้องถิ่น และเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งในปัจจุบันความนิยมของผู้บริโภค<br />เน้นไปที่ไก่พื้นเมืองพันธุ์แท้ เรพาะรสชาดดีเนื้อแน่น ไขมันต่ำและเนื้อมีกลิ่นหอม ซึ่งตรงกันข้ามกับไก่เนื้อโตเร็วที่มีจำหน่ายอยู่<br />ทั่วไปในตลาด ดั้งนั้น กลุ่มงานสัตว์ปีก กองบำรุงพันธุ์สัตว์ จึงได้ทำการวิจัยผสมพันธุ์ไก่สามสายพันธุ์ขึ้นมา เพื่อทำเป็นสาย<br />แม่พันธุ์ ที่มีคุณสมบัติให้ลูกดก เจริญเติบโตเร็ว เนื้อหน้าอกเต็ม และเมื่อนำไปผสมกับพันธุ์พื้นเมืองแล้วจะให้ลูกผสมสี่สายพันธุ์<br />ที่มีลักษณะไม่แตกต่างกับไก่พื้นเมือง คุณภาพเนื้อทัดเทียม หรือดีกว่าไก่พื้นเมือง การวิจัยพันธุ์ได้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2537<br />ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์บางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และวิจัยต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ที่สถาบันวิจัยและพัฒนาสัตว์ปีกแห่งชาติ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี การวิจัยพันธุ์มีวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่ง คือ ให้เกษตรกรขยายพันธุ์เองได้ ไม่กลาย<br />พันธุ์ และไก่สามสายพันธุ์ยังเป็นแม่พันธุ์พื้นฐานสำหรับผสมเป็นไก่เนื้อพื้นเมืองเติบโตเร็ว ห้าสายพันธุ์ได้อีกด้วย คือ สามารถที่จะปรับเปลี่ยนสลับพ่อพันธุ์ให้ได้ลูกโตช้าโตเร็วได้ตามความต้องการ แม้แต่ไก่พันธุ์เนื้อโตเร็วก็ใช้แม่พื้นฐานสามสายพันธุ์หรือจะใช้พันธุ์สามสาย ผลิตเป็นไก่พื้นเมืองโดยตรงก็ได้ คุณภาพเนื้อแตกต่างกันเล็กน้อย แต่เจริญเติบโตเร็วกว่านำไปผสมกับไก่พื้นเมือง ซึ่งแผนการผสมพันธุ์ดังนี้<br /><br /><img height="95" src="http://www.dld.go.th/service/chicken%203%20type/image/breed2.jpg" width="150" border="1" /><img height="103" src="http://www.dld.go.th/service/chicken%203%20type/image/breed4.jpg" width="150" border="1" /><img height="99" src="http://www.dld.go.th/service/chicken%203%20type/image/breed1.jpg" width="150" border="1" /></p></span></td></tr></tbody></table><br /><img height="103" src="http://www.dld.go.th/service/chicken%203%20type/image/breed3.jpg" width="150" border="1" /><img height="101" src="http://www.dld.go.th/service/chicken%203%20type/image/breed5.jpg" width="150" border="1" />เบนซ์http://www.blogger.com/profile/01592844473215358442noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3518500111956269800.post-70767455166507647862009-01-29T17:46:00.000-08:002009-01-29T17:49:20.998-08:00<table cellspacing="0" cellpadding="0" width="780" border="0"><tbody><tr><td bg style="color:#92c080;"></td><td width="37"><div align="center"><img height="57" src="http://www.dld.go.th/service/webeggs/images/animal3_03.jpg" width="37" /></div></td><td width="75"><div align="center"><img height="57" src="http://www.dld.go.th/service/webeggs/images/animal3_04.jpg" width="75" /></div></td><td width="57"><div align="center"><img height="57" src="http://www.dld.go.th/service/webeggs/images/animal3_05.jpg" width="57" /></div></td><td width="43"><div align="center"><img height="57" src="http://www.dld.go.th/service/webeggs/images/animal3_06.jpg" width="43" /></div></td></tr><tr><td width="11" bgcolor="#92c080"> </td><td bgcolor="#92c080"> <img height="21" src="http://www.dld.go.th/service/sheep/STAR2.gif" width="21" /></td><td bgcolor="#92c080"> <img height="180" src="http://www.dld.go.th/service/webeggs/images/chicken.jpg" width="253" /></td><td bgcolor="#92c080"> </td><td bgcolor="#92c080"> <table cellspacing="1" cellpadding="0" width="100%" border="0"><tbody><tr><td width="54%" height="27"><div align="center"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:100%;color:#993300;">การเลี้ยงไก่</span></strong></div></td></tr><tr><td height="26"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/webeggs/nativmai.html">การเลี้ยงไก่พื้นเมือง</a></span></strong></td></tr><tr><td height="26"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/layer/history.html">การเลี้ยงไก่ไข่</a></span></strong></td></tr><tr><td height="25"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/chicken%203%20type/chic3mai.html">การเลี้ยงไก่ 3 สายพันธุ์</a></span></strong></td></tr><tr><td height="25"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;"><a href="http://www.dld.go.th/service/webeggs/mainegg.html"><span style="color:#000000;">การให้อาหารและสูตรอาหารไก่ไข</span></a>่</span></strong></td></tr></tbody></table></td><td bgcolor="#92c080"> </td><td bgcolor="#92c080"> </td><td bgcolor="#92c080"> </td><td bgcolor="#92c080"><div align="center"><img height="21" src="http://www.dld.go.th/service/sheep/STAR2.gif" width="21" /></div></td><td bgcolor="#92c080"><div align="right"><img height="27" src="http://www.dld.go.th/service/webeggs/images/animal3_08.jpg" width="15" /></div></td><td bg colspan="3" rowspan="13" style="color:#b8dfc6;"><div align="center"><table cellspacing="0" cellpadding="0" width="100%" border="0"><tbody><tr><td height="21"><div align="center"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#993300;">การเลี้ยงสัตว์ใหญ่</span></strong></div></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/normal_cattle/cownamal.html">การเลี้ยงโคพื้นเมือง</a></span></strong></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/dairy_cattle/index.html">การเลี้ยงโคนม</a></span></strong></td></tr><tr><td height="19"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/beef/type.html">การเลี้ยงโคเนื้อ</a></span></strong></td></tr><tr><td height="20"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;">การเลี้ยงดูแม่พันธุ์โคเนื้อ</span></strong></td></tr><tr><td height="20"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/buffalo/buffalo0.html">การเลี้ยงกระบือ</a></span></strong></td></tr><tr><td height="21"><div align="center"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#993300;">การเลี้ยงสัตว์เล็ก</span></strong></div></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/pig/pigpig.html">การเลี้ยงสุกร</a></span></strong></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/sheep/sheepmai.html">การเลี้ยงแกะ</a></span></strong></td></tr><tr><td height="19"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/goat/goatmai.html">การเลี้ยงแพะ</a></span></strong></td></tr><tr><td height="19"><div align="center"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#993300;">การเลี้ยงสัตว์ปีก</span></strong></div></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/webeggs/mainchi.html">การเลี้ยงไก่</a></span></strong></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/webeggs/mainduck.html">การเลี้ยงเป็ด - ห่าน</a></span></strong></td></tr><tr><td height="21"><div align="center"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#993300;">การเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจพันธุ์ใหม่</span></strong></div></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/deer/deer_h.html">การเลี้ยงกวาง</a></span></strong></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/camel/Camels.html">การเลี้ยงอูฐ</a></span></strong></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/ostrich/frist_os.html">การเลี้ยงนกกระจอกเทศ</a></span></strong></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/quail/quail_1.html">การเลี้ยงนกกระทา</a></span></strong></td></tr><tr><td height="21"><strong><span style="font-family:MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;font-size:85%;color:#000000;"><a href="http://www.dld.go.th/service/Emu/emu_h.html">การเลี้ยงนกอีมู</a></span></strong></td></tr></tbody></table></div></td></tr></tbody></table>เบนซ์http://www.blogger.com/profile/01592844473215358442noreply@blogger.com0